กระเกิดจากอะไร ป้องกันอย่างไร พร้อมวิธีดูแลรักษา

สารบัญบทความเกี่ยวกับผิว

กระเกิดได้จากหลายปัจจัย

ประเภทของกระ

วิธีการป้องกันกระให้ได้ผล

พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดกระบนใบหน้า

การรักษากระ

กระ (Freckles) เป็นจุดสีน้ำตาลอ่อนเล็ก ๆ หลายจุดที่เกิดขึ้นตามร่างกาย พบบ่อยบริเวณใบหน้า

กระเกิดได้จากหลายปัจจัย

  • แสงแดด ยิ่งเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน ก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ ซึ่งเป็นเซลล์ผลิตสารสีเมลานินผลิตเม็ดสีชนิดนี้เพิ่มขึ้น เพื่อใช้ช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดดด้วยการสะท้อนและดูดซึมรังสียูวี ส่งผลให้ผิวคล้ำลงหลังถูกแสงแดด สารเมลานินที่ผลิตออกมามากเกินยังทำให้เกิดกระหรือทำให้กระมีสีเข้มขึ้นได้
  • สีผิว คนที่มีผิวขาวหรือซีดที่มีสารเมลานินน้อยอยู่แล้ว เมื่อเผชิญแสงแดด เม็ดสีที่เพิ่มขึ้นจึงไม่สม่ำเสมอ เกิดเป็นกระแทนที่ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำสม่ำเสมอ ดังนั้นคนที่มีผิวขาวจึงมีโอกาสเป็นกระได้มากกว่า
  • พันธุกรรม นอกจากแสงแดดและสีผิว ความเสี่ยงทางพันธุกรรมก็เป็นอีกปัจจัยหลักร่วมด้วย นั่นหมายความว่าแม้จะต้องเผชิญแสงแดดเหมือนกัน แต่โอกาสที่จะเกิดกระของแต่ละคนก็อาจไม่เท่ากัน

ประเภทของกระ

  • กระทั่วไป (Freckle หรือ Ephelis)

    ลักษณะเป็นสีแทนออกแดง หรือน้ำตาลอ่อน รูปร่างกลมเป็นจุดเล็ก ๆ โดยมักจะปรากฏขึ้นช่วงฤดูร้อน และพบได้ในผู้ที่มีสีผิวค่อนข้างขาว หรือในครอบครัวที่มีพันธุกรรมกระชนิดนี้ รวมถึงคนที่มีสีผมแดงและตาสีเขียวที่มีความเสี่ยงสูง

  • กระจากแดด (Lentigo)

    กระแดดแตกต่างจากกระทั่วไปที่มีสีเข้มกว่า มักเป็นสีแทน น้ำตาล หรือดำ ปรากฏตามบริเวณที่สัมผัสแดด เช่น หลังมือ ใบหน้า บริเวณไหล่และหลังส่วนบน และโดยมากจะไม่หายไปแม้เมื่อฤดูกาลที่มีแสงแดดอ่อนมาถึง กระชนิดนี้อาจพบว่าเป็นมาตั้งแต่ยังเด็ก หรือมักพบในผู้สูงอายุ โดยเป็นผลมาจากการเผชิญแสงแดดเป็นเวลายาวนานในอดีต

  • กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis)

    มักพบในผู้สูงอายุ มีลักษณะเป็นรอยนูนแข็งสีน้ำตาลขนาดไม่เกิน 2.5 เซนติเมตร ซึ่งมีสีและลักษณะแตกต่างกัน พบได้บริเวณใบหน้าและส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โดยมักเกิดเป็นกระจุกมากกว่าจุดเดียว และอาจทำให้รู้สึกคัน

วิธีการป้องกันกระให้ได้ผล

 นอกจากสาเหตุทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขได้ การหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดเป็นหลักการสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นกระ และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนังอีกด้วย โดยใช้วิธีต่าง ๆ ดังนี้

1. พยายามอยู่ในร่มหรือภายในตัวอาคาร

หลีกเลี่ยงการพบเจอแสงแดดช่วงเวลาประมาณ 10.00–15.00 น. ที่มีแดดแรง

2. ใช้ครีมกันแดด

เตรียมพร้อมเผชิญแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดทุกครั้ง โดยเลือกครีมที่มี SPF 30 ขึ้นไป

3. ปกปิดด้วยเครื่องแต่งกาย

ปกป้องใบหน้าซึ่งเป็นส่วนที่โดนแสงแดดบ่อย ด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง และสวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกาย เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว

พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดกระบนใบหน้า

  1. ไม่ทาครีมกันแดด
    เราต้องทำความเข้าใจว่า กระเกิดจากแสงแดดที่กระตุ้นให้เมลานินสร้างเม็ดสีขึ้นมาเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ทำให้เกิดการกระจายของเม็ดสีที่ไม่สม่ำเสมอจนกลายเป็นกระบนผิว  ดังนั้น หากไม่ทากันแดดแล้วไปทำการรักษากระอาจส่งผลให้อาการรุนแรงมากขึ้น
  2. ใช้เครื่องสำอางไม่ได้มาตรฐาน
    เครื่องสำอางไม่ได้มาตรฐาน หมายถึง เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรงหรืออันตราย เป็นที่มาของปัญหาผิวอย่างฝ้า กระ หรือจุดด่างดำ
  3. มีความเครียด
    อารมณ์เครียดบ่อยๆ ก็เป็นพฤติกรรมที่ทำให้เกิดกระได้  เพราะความเครียดส่งผลให้ฮอร์โมนแปรปรวน เป็นที่มาของการผลิตเม็ดสีผิดปกติจนทำให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ รวมถึงกระนั้นเอง
  4. พักผ่อนไม่เพียงพอ การพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส เกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งยังทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานไม่ปกติ ส่งผลต่อฮอร์โมน ทำให้เมลานินที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ จนทำให้เกิดกระได้
  5. อยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
    คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดความร้อนสะสมบริเวณใบหน้าจนทำปฏิกิริยากับเมลานินและเม็ดสีผิวจนอาจกระตุ้นให้สร้างเม็ดสีผิดปกติ เป็นที่มาของกระ ดังนั้นควรลดการอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ หรือทากันแดดอย่างสม่ำเสมอ
  6. ไม่ทำความสะอาดผิวอย่างต่อเนื่อง
    หากไม่ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างต่อเนื่อง สิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อุดตันอยู่จะไปกระตุ้นเมลานินให้สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น
  7. กินยาคุมฮอร์โมนสูง
    ยาคุมกำเนิดจะส่งผลต่อฮอร์โมนตามธรรมชาติ หากกินยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ก็อาจทำให้ผิวเกิดฝ้าและกระง่ายขึ้น แต่เมื่อเราลดการกินยาคุมหรือเลือกกินยาคุมฮอร์โมนต่ำ รอยฝ้ากระก็จะจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ

การรักษากระ

  • การใช้ครีมทาผิวที่ผสม

-กรดโคจิก (Kojic Acid)

-อะดาพาลีน (Adapalene)

-เตรทติโนอิน (Tretinoin)

ซึ่งเป็นสารในกลุ่มวิตามินเอที่หาซื้อได้ทั่วไป

  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) 

-กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid)

-กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid)

ซึ่งจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้กระจางลง และช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งทำให้สร้างเม็ดสีของผิวที่ผิดปกติดีขึ้น

  • การรักษาด้วยเลเซอร์

การเลเซอร์เป็นวิธีรักษากระที่ค่อนข้างปลอดภัยและให้ผลตอบสนองค่อนข้างดี เลเซอร์ที่ใช้รักษากระมีหลายชนิด โดยผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนครั้งที่รักษา อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยเลเซอร์อาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงต่อผิวหนัง เช่น ผิวแดง คัน บวม แห้งลอก ติดเชื้อ และสีผิวบริเวณที่รักษาเปลี่ยนไป จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษาเสมอ

ข้อมูลอ้างอิง 

Social Media
ขอบคุณทุกการติดตาม
Scroll to Top